
ความเชื่อ เรื่อง พระพิฆเนศวรในบริบทของสังคมไทย
สยามมีอารยธรรมที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นและได้รับอิทธิพลทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มาตั้งแต่โบราณ โดยรับผ่านเข้ามาจากรัฐฟูนันซึ่งมีความเจริญรุ่งเรืองในแถบเขมรมาอยู่ก่อนหน้าแล้ว และในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12–16 อันเป็นช่วงยุคสมัยของอารยธรรมทวารวดีที่มีความเจริญรุ่งเรืองในแถบภาคกลาง แผ่อิทธิพลขึ้นไปทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ทำให้ภูมิภาคดังกล่าวได้รับอิทธิพลทั้งทางศาสนาและทางศิลปวัฒนธรรมจากอินเดีย โดยมีข้อสันนิษฐานว่าอิทธิพลความเชื่อเกี่ยวกับพระพิฆเนศวร เทพเจ้าตามคติพราหมณ์-ฮินดูองค์นี้ เข้ามาแผ่อิทธิพลสู่ดินแดนประเทศไทยทางภาคใต้ ซึ่งได้รับอิทธิพลโดยตรงจากอินเดีย ราวพุทธศตวรรษที่ 7–8
ดังนั้นการนับถือพระพิฆเนศวรในประเทศไทยจึงสามารถลำดับยุคสมัยได้ เท่าที่มีหลักฐานทางโบราณคดียืนยันไว้ ดังนี้
-อ้างอิง
สำนักพิมพ์สยามคเณช. 2554.[ออนไลน์].ประวัติพระพิฆเนศในประเทศไทย. พระพิฆเนศวร
เข้าถึงได้จาก; http://www.siamganesh.com/ganeshthailand.html. (วันที่ค้นข้อมูล:10พฤศจิกายน 2559.)
สำนักพิมพ์สยามคเณช. 2554.[ออนไลน์].เทวาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย. พระพิฆเนศวร
เข้าถึงได้จาก; http://www.siamganesh.com/devalai-bangkok.html. (วันที่ค้นข้อมูล:10พฤศจิกายน 2559.)
วาทิน สันติ. 2559.[ออนไลน์].วัฒนธรรมอินเดียในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. เข้าถึงได้จาก; https://www.gotoknow.org/posts/271218.%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%95%E0%B9%99. (วันที่ค้นข้อมูล:10พฤศจิกายน 2559.)
1.สมัยเริ่มยุคประวัติศาสตร์ทางภาคใต้และทวารวดี
เป็นยุคสมัยที่ได้รับอิทธิพลทางศิลปะจากอินเดีย เทวรูปพระพิฆเนศวรที่พบในประเทศไทยในยุคสมัยนี้ได้แสดงถึงรูปแบบทางศิลปกรรมอย่างเด่นชัด เช่น เทวรูปพระพิฆเนศวรจากเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ เสาชิงช้า พระนคร จัดเป็นประติมากรรมพระพิฆเนศวรที่เก่าที่สุดในประเทศไทยและเก่าที่สุดในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์
นอกจากนี้ยังมีเทวรูปพระพิฆเนศวรที่พบทางภาคใต้ของไทย ที่เมืองโบราณสทิงพระ อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา แสดงให้เห็นว่าได้มีการบูชาเทพเจ้าองค์นี้มาแต่อดีต และสันนิษฐานว่าเป็นเทวรูปพระพิฆเนศวรที่เก่าแก่ที่สุดที่พบในภาคใต้ของไทย อีกทั้งยังมีร่องรอยเทวสถานของพระพิฆเนศวร ปรากฏร่วมกับเทวาลัยพระศิวะและพระวิษณุ ที่แหล่งโบราณคดีเขาคา อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช อาจกล่าวได้ว่าเป็นเทวาลัยสำหรับพระพิฆเนศวรที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย
-อ้างอิง
เรื่องเดียวกัน, หน้า 79. (วันที่ค้นข้อมูล:10พฤศจิกายน 2559.)
2.สมัยสุโขทัย
มีหลักฐานทางโบราณคดีเป็นจำนวนมากที่กล่าวถึงการบูชาเทพเจ้าฮินดูต่างๆ ดังนั้นการสร้างเทวรูปเทพเจ้าองค์สำคัญของฮินดูจึงปรากฏในกรุงสุโขทัย ถึงแม้ว่าศาสนาพุทธหินยานจะเป็นศาสนาหลักของชาวสุโขทัย แต่ศาสนาฮินดูที่ได้รับอิทธิพลมาจากขอม ก็ไม่ได้ถูกลดความสำคัญจนหมดสิ้นไป เพราะยังเป็นประโยชน์ในด้านการเมืองการปกครอง รวมทั้งพราหมณ์ในราชสำนักก็ย่อมใช้เทวาลัยของศาสนาฮินดูในการประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวกับบ้านเมืองและราชสำนัก ทั้งนี้การประกอบพิธีกรรมต่างๆนั้นก็ได้แสดงให้เห็นว่าชาวสุโขทัยมีการบูชาพระพิฆเนศวรด้วย เนื่องจากทุกพิธีกรรมนั้นจะดำเนินไปไม่ได้หากไม่มีการบวงสรวงพระพิฆเนศวรเป็นลำดับแรก
ปัจจุบันมีเทวรูปที่เข้าใจกันว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพระพิฆเนศวรในสมัยสุโขทัยอยู่ไม่มาก ด้วยเป็นเทวรูปที่อาจจะสร้างขึ้นในสมัยสุโขทัยจริง แต่เป็นการสร้างตอนปลายสมัย หรือช่วงที่คาบเกี่ยวกับกรุงศรีอยุธยาแล้ว และมีการอัญเชิญเทวรูปต่างๆจากสุโขทัยมายังกรุงรัตนโกสินทร์ เช่น เทวรูปพระพิฆเนศวรที่มีลักษณะงดงามประทับยืนตรง เป็นศิลปะสมัยสุโขทัยตอนปลายต่ออยุธยาและยังมีประติมากรรมประทับนั่งแบบชวา ซึ่งอาจมาจากกลุ่มเตาทุเรียงบ้านเกาะน้อย ศรีสัชนาลัย ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์เอกชน เป็นต้น
-อ้างอิง
จิรัสสา คชาชีวะ, เรื่องเดิม, หน้า 105. (วันที่ค้นข้อมูล:10พฤศจิกายน 2559.)
ศูนย์ศิลปกรรมโบราณในเอเชียอาคเนย์ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. 2552.[ออนไลน์].ประติมากรรมศิลปะชวา. เข้าถึงได้จาก; http://www.archae.su.ac.th/art_in_south/index.php/joomla-search/result/itemlist/tag/%E0%B8%8A%E0%B8%A7E0%B8%
B2.html. (วันที่ค้นข้อมูล:12พฤศจิกายน 2559.)
3.สมัยอยุธยา
ความเชื่อทางศาสนาฮินดูในสมัยอยุธยามีความมั่นคงและแพร่หลายมากกว่าในสมัยสุโขทัย เพราะเข้ามามีอิทธิพลในหลายด้าน ทั้งการเมืองการปกครอง พิธีกรรมต่างๆที่รับมาจากเขมร จนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมและประเพณีของไทย
ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พบหลักฐานการนับถือบูชาพระพิฆเนศวรที่เป็นลายลักษณ์อักษร ปรากฏอย่างชัดเจนในพระราชพงศาวดาร โดยกล่าวถึงการที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดเกล้าฯ ให้ทำการหล่อเทวรูปพระพิฆเนศวรขึ้นหลายครั้ง พระศรีมโหสถ รัตนกวีประจำราชสำนักสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ประพันธ์บทสรรเสริญและขอพรเทพเจ้าทั้งหลายไว้ท้ายโคลงเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กล่าวถึงพระพิฆเนศวรในฐานะเทพเจ้าผู้ขจัดอุปสรรคทั้งปวง ดังนี้
“ 68 ขอพรพาหบาทไท ทรงธาร
พระเริ่มรังคชการ ก่องกล้า
ขอจงแผ่นภูวบาล บดิราช
สิทธิคชาศิลปะเร้า รวดเพี้ยงพระกรรม์ ฯ
69 ขอพรพิฆเนศสร้อย ศิวบุตร
ทรงเครื่องอาภรณ์ภุช เงือกง้ำ
ขอจงจรรโลงอุด ดมโลก
แคล้วคลาดภัยพิฆนล้ำ เลิศด้วยเสวยรมย์ ฯ”
หลักฐานที่ยกมานี้แสดงให้เห็นว่าในสมัยอยุธยามีความเชื่อเรื่องพระพิฆเนศวรทั้งในฐานะเทพเจ้าฮินดูที่สำคัญและเทพเจ้าผู้ขจัดอุปสรรค แล้วยังมีข้อสันนิษฐานจากนักวิชาการว่า ในสมัยนี้มีการนับถือพระพิฆเนศวรในฐานะเทพแห่งศิลปวิทยาด้วย เนื่องจากพระพิฆเนศวรบางองค์ถือเหล็กจาร แต่ด้วยสมัยอยุธยาเคารพพระสรัสวดีเป็นเทพเจ้าทางศิลปวิทยาอยู่แล้ว จึงไม่ได้มีการเอ่ยถึงพระพิฆเนศวรกันอย่างแพร่หลายและยังไม่มีหลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงอย่างแน่ชัดอีกด้วย
-อ้างอิง
จิรัสสา คชาชีวะ, เรื่องเดิม, หน้า 70. (วันที่ค้นข้อมูล:10พฤศจิกายน 2559.)
สำนักพิมพ์สยามคเณช. 2554.[ออนไลน์].พระสรัสวดี. พระพิฆเนศวร. เข้าถึงได้จาก; http://www.siamganesh.com/saraswati.html. (วันที่ค้นข้อมูล:12พฤศจิกายน 2559.)
4.สมัยรัตนโกสินทร์
ชนชั้นปกครองในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้รับอิทธิพลความเชื่อเกี่ยวกับการนับถือบูชาพระพิฆเนศวรสืบเนื่องมากจากสมัยอยุธยา ด้วยความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์นั้นทำให้มีการประกอบพิธีกรรมต่างๆในราชสำนัก ซึ่งมีการอัญเชิญเทวรูปพระพิฆเนศวรมาบวงสรวงด้วย และมักเป็นพระราชพิธีที่สำคัญ
เช่น พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีตรียัมพวาย–ตรีปวาย (ปัจจุบันยกเลิกไปแล้ว)
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา เป็นต้นในพระราชพิธีที่กล่าวมาข้างต้นนี้
จะมีการอ่านคำสรรเสริญเทพเจ้าต่างๆ โดยจะกล่าวบูชาพระพิฆเนศวรเป็นองค์แรก ส่วนพราหมณ์ที่ประกอบการพระราชพิธีในสมัยรัตนโกสินทร์ทั่วไปเป็นตระกูลพราหมณ์ไศวนิกายซึ่งมาจากนครศรีธรรมราช
หลักฐานเกี่ยวกับพระพิฆเนศวรในสมัยรัตนโกสินทร์นั้น อาจแบ่งได้ตามรัชสมัย ดังต่อไปนี้
-อ้างอิง
ชลาดาคณปติ. 2554.[ออนไลน์].พระพิฆเนศกับความเชื่อในไทย. พระพิฆเนศวรเข้าถึงได้จาก; http://ganeshmuseum.blogspot.com. (วันที่ค้นข้อมูล:11พฤศจิกายน 2559.)
4.1 สมัยรัชกาลที่ 1-3
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นที่เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ (เสาชิงช้า) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ 1) โปรดฯให้สร้างขึ้นมาสำหรับพระนคร ในสถานพระพิฆเนศวร (โบสถ์กลาง) ได้มีการประดิษฐานเทวรูปพระพิฆเนศวรที่สง่างามหลายยุคหลายสมัย โบสถ์พราหมณ์แห่งนี้ยังผลิตตำราภาพเทวรูปจำนวนหนึ่ง ประกอบด้วยภาพพระพิฆเนศวรหลายปาง ซึ่งน่าจะคัดลอกจากตำราเก่าสมัยอยุธยาเป็นส่วนใหญ่ ปัจจุบันรักษาไว้ที่หอสมุดแห่งชาติ
สมัยรัชกาลที่ 2 ยังไม่มีปรากฏ
สมัยรัชกาลที่ 3 ปรากฏภาพจิตรกรรมเกี่ยวกับพระพิฆเนศวรที่เก่าที่สุดในรัชกาลนี้ เช่น สมุดภาพตำราช้าง ฉบับช่างเขียนหลวง กล่าวถึงช้างลักษณะต่างๆและมีรูปพระพิฆเนศวรปรากฏอยู่ด้วย แล้วยังปรากฏบนบานหน้าต่างด้านในของพระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวราราม ในปลายรัชกาลที่ 3 พบภาพจิตรกรรมที่คล้ายกันนี้
แกะสลักไว้บนบานประตูไม้ด้านหลังพระวิหารของวัดเพลงวิปัสสนา กรุงเทพมหานคร และยังปรากฏมาจวบปัจจุบัน
-อ้างอิง
สำนักพิมพ์สยามคเณช. 2554.[ออนไลน์].เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ เสาชิงช้า. พระพิฆเนศวร
เข้าถึงได้จาก; http://www.siamganesh.com/brahma.html. (วันที่ค้นข้อมูล:13พฤศจิกายน 2559.)
วรัญญา หิรัญกุล. 2553.[ออนไลน์].ประวัติเทวสถานโบสถ์พราหมณ์. เข้าถึงได้จาก;http://www.devasthan.org/history_02.html. (วันที่ค้นข้อมูล:13พฤศจิกายน 2559.)
ศูนย์ข้อมูลเกาะรัตนโกสินทร์. 2555.[ออนไลน์].เทวสถานโบสถ์พราหมณ์. เข้าถึงได้จาก; http://www.lib.su.ac.th/rattanagosin_web/?q=node/263. (วันที่ค้นข้อมูล:13พฤศจิกายน 2559.)
4.2 สมัยรัชกาลที่ 4-5
จิตรกรรมเทวรูปพระพิฆเนศวรซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับที่พระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวราราม
ได้มีการทำขึ้นอีกครั้งในรัชกาลที่ 4 เป็นภาพบนบานหน้าต่างด้านในพระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส
หรือวัดพระแก้ววังหน้า
-อ้างอิง
ศูนย์ข้อมูลเกาะรัตนโกสินทร์. 2555.[ออนไลน์].พระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส. เข้าถึงได้จาก;http://www.lib.su.ac.th/rattanagosin_
web/?q=node/191. (วันที่ค้นข้อมูล:15พฤศจิกายน 2559)
รัตนะ ประดิษฐวรชัย. 2559.[ออนไลน์].วัดพระแก้ววังหน้าหรือวัดบวรสถานสุทธาวาส. เข้าถึงได้จาก; http://oknation.nationtv.tv/blog/
winsstars/2012/04/23/entry-1. (วันที่ค้นข้อมูล:15พฤศจิกายน 2559)
สมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่พระราชนิพนธ์เรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับองค์พระพิฆเนศวรโดยตรง ดังปรากฏในพระราชพิธีสิบสองเดือน ซึ่งทรงออกพระนามพระพิฆเนศวรในพระราชพิธีต่างๆ โดยการเสด็จประพาสเกาะชวาครั้งที่ 2 พ.ศ.2438 พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนจันทิสิงหส่าหรี และได้ทอดพระเนตรเทวรูปพระพิฆเนศวรขนาดใหญ่องค์หนึ่งที่นั่น ทรงมีพระราชประสงค์จะนำเทวรูปนั้นกลับประเทศไทย ซึ่งเทวรูปองค์นี้ได้นำไปประดิษฐานไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนจะย้ายไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครจนถึงปัจจุบัน
-อ้างอิง
ช้างไทย. 2554.[ออนไลน์].พระราชพิธีสิบสองเดือน. เข้าถึงได้จาก; http://www.changthaiteam.com/index.phplay=show&ac=
article&Id=539252215&Ntype=4. (วันที่ค้นข้อมูล:12พฤศจิกายน 2559)
4.3 สมัยรัชกาลที่ 6-7
หลังจากพระราชนิพนธ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พิมพ์เผยแพร่ออกไป จึงเริ่มมีการรู้จักพระพิฆเนศวรกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังคงจำกัดอยู่ในราชสำนัก แผ่นดินรัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นยุคของความรุ่งเรืองทางศิลปศาสตร์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนพระทัยค้นคว้าอย่างจริงจัง พระองค์ทรงทำตามแบบอย่างชาวฮินดูในการอัญเชิญและกล่าวคำบูชาพระพิฆเนศวร เพื่อขอความเป็นสิริมงคลและความสำเร็จเมื่อจะทรงพระราชนิพนธ์บทประพันธ์ต่างๆ แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงมีความเชื่อว่าพระพิฆเนศวรเป็นเทพแห่งศิลปวิทยา ทั้งนี้ พระองค์ยังทรงพระราชนิพนธ์เรื่องราวเกี่ยวกับพระพิฆเนศวรโดยเฉพาะเอาไว้ด้วย ได้แก่ บทละครเรื่อง สามัคคีเสวก ตอน กรีนิมิต (พระพิฆเนศวรเสียงา) ทรงกล่าวถึงพระพิฆเนศวรในฐานะบรมครูช้างผู้ใหญ่ ดังนี้
“ อนึ่งพระพิฆเณศเดชอุดม เป็นบรมครูช้างผู้ใหญ่
เธอสร้างสรรพกะรีที่ในไพร เพื่อให้เป็นสง่าแก่ชาตรี
สร้างสารแปดตระกูลพูนสวัสดิ์ ประจงจัดสรรพางค์ต่างต่างสี
แบ่งปันคณะอัฎฐะกะรี ประจำที่อัฏฐทิสสถาพร ”
กล่าวได้ว่าเป็นพระราชนิพนธ์ที่รวบรวมเรื่องของพระพิฆเนศวรตามความเชื่อของคนไทยที่มีมาแต่สมัยอยุธยาอย่างเป็นหมวดหมู่เป็นครั้งแรก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นแบบอย่างในการถวายความสำคัญแด่องค์พระพิฆเนศวรให้ปรากฏเป็นรูปธรรมมากที่สุด ทั้งในฐานะเทพเจ้าองค์สำคัญตามคติพราหมณ์-ฮินดู เทพเจ้าแห่งความสำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฐานะเทพเจ้าแห่งศิลปศาสตร์
และวรรณคดีที่เป็นที่พระราชนิยมของพระองค์เอง
เหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวกับพระพิฆเนศวรในรัชกาลที่ 6 คือ การที่ทรงมีพระราชดำริให้สร้างเทวาลัยสำหรับพระพิฆเนศวรขึ้น ณ จุดศูนย์กลางของพระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม ในฐานะศาลเทพารักษ์ประจำพระราชฐานแห่งนั้น พร้อมกับพระราชทานนามว่า เทวาลัยคเณศร์ ศาลดังกล่าวประดิษฐานเทวรูปพระพิฆเนศวรขนาดใหญ่ทำด้วยสำริดทั้งองค์ และเป็นครั้งแรกที่มีการสร้างเทวรูปพระพิฆเนศวรขนาดใหญ่ขึ้นในกรุงรัตนโกสินทร์
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่สำคัญในรัชกาลที่ 6 ก็คือการก่อตั้งวรรณคดีสโมสร ใน พ.ศ.2467 โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชลัญจกรรูปพระพิฆเนศวรเป็นดวงตราของสโมสรนี้ ยิ่งแสดงให้เห็นว่ามีการนับถือเทวะองค์นี้ในฐานะบรมครูทางศิลปศาสตร์อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
กรมศิลปากรซึ่งเป็นหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมของไทย ก็ได้ก่อตั้งขึ้นในรัชกาลที่ 6 และมีดวงตราประจำกรมเป็นรูปพระพิฆเนศวรประทับบนลวดลายกระหนก ลักษณะคล้ายเมฆ ทรงถือปาศะครอบน้ำ วัชระ และทันตะ อยู่ในวงกลมที่ล้อมรอบด้วยดวงแก้ว 7 ดวง มีความหมายถึงศิลปวิทยา 7 อย่างที่อยู่ในขอบเขตหน้าที่รับผิดชอบของกรมศิลปากร ดวงตรานี้ได้ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ พ.ศ.2480 โดยได้รับโอนมาจากวรรณคดีสโมสรที่ยุบเลิกไป และต่อมาได้เป็นตราประจำมหาวิทยาลัยศิลปากรอีกสถาบันหนึ่ง ด้วยเหตุทั้งหมดที่กล่าวมานี้ คนไทยจึงมีความเชื่อเกี่ยวกับพระพิฆเนศวรว่าเป็นเทพเจ้าแห่งศิลปวิทยาการของไทยมาจนถึงปัจจุบัน
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก พระราชพิธีต่างๆ เช่น การโล้ชิงช้าก็ถูกยกเลิกไป ผู้ที่มีความเชื่อเรื่องพระพิฆเนศวรในประเทศไทยนับแต่รัชกาลที่ 7 เป็นต้นมา ยังคงสืบทอดการบูชาองค์เทวะนี้ในฐานะบรมครูแห่งศิลปะวิทยาการ การนับถือในสมัยนี้ นอกจากในทางวรรณกรรมก็ยังมีสาขาอื่นแยกย่อยออกไป เช่น นาฏกรรม คีตกรรม ทั้งนี้เพราะอยู่ในขอบเขตหน้าที่ของกรมศิลปากร จนปรากฏเป็นเทพประจำวิทยาลัยนาฏศิลป์ กรมศิลปากร และเป็นเทพแห่งศิลปะการแสดงอีกด้วย ดังปรากฏบนหน้าบันโรงละครแห่งชาติ
ในขณะเดียวกัน ภายหลังจากการสร้างเทวาลัยคเณศร์ ณ พระราชวังสนามจันทร์แล้ว ก็เริ่มมีการประดิษฐานเทวรูปพระพิฆเนศวรไว้ในสถานที่ต่างๆ จนเป็นที่รู้จักกันมากขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน
-อ้างอิง
จิรัสสา คชาชีวะ, เรื่องเดิม, หน้า 122. ลายกระหนกลักษณะคล้ายเมฆก็คือรูปก้อนเมฆในศิลปะไทยแบบประเพณีนั่นเอง การประทับบนก้อนเมฆเป็นการแสดงเทวฐานะซึ่งสถิตในสรวงสวรรค์ ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ประทับบนบัลลังก์เมฆ
เรื่องเดียวกัน, หน้า 123. (วันที่ค้นข้อมูล:17พฤศจิกายน 2559)
ยลสิริ เทียมไพโรจน์. 2551.[ออนไลน์].บทเสภาสามัคคีเสวก. เข้าถึงได้จาก; https://prezi.com/hrqtd8lq1liu/presentation/.
(วันที่ค้นข้อมูล:17พฤศจิกายน 2559)
ครูฮาดีหม๊ะ แวดะสง. 2258.[ออนไลน์].วรรณคดีสโมสร. เข้าถึงได้จาก; https://hadeemah.wordpress.com/2015/12/08/%E0%
B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A3/. (วันที่ค้นข้อมูล:17พฤศจิกายน 2559)
วันชนะ เจริญพงษ์. 2554.[ออนไลน์].ตราสัญลักษณ์กรมศิลปากร. เข้าถึงได้จาก; http://logosociety.blogspot.com/2010/08/blog-post_7614.html. (วันที่ค้นข้อมูล: 17พฤศจิกายน 2559)
อักษรชนนี. 2551.[ออนไลน์].เทวาลัยพระคเณศ พระราชวังสนามจันทร์. เข้าถึงได้จาก; http://oknation.nationtv.tv/blog/aksorn
/2008/06/22/entry-3. (วันที่ค้นข้อมูล:17พฤศจิกายน 2559)
สำนักพระราชวัง. 2549.[ออนไลน์].เทวาลัยคเณศร์. เข้าถึงได้จาก; https://sites.google.com/site/sanamchanpalace/ganesh-shrine. (วันที่ค้นข้อมูล:17พฤศจิกายน 2559)
วีระพงษ์ โพธิจิตต์. 2557.[ออนไลน์].พิธีพรรมบวงสรวง. เข้าถึงได้จาก; http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1404795033. (วันที่ค้นข้อมูล:17พฤศจิกายน 2559)
การเข้ามาแพร่กระจายของความเชื่อ เรื่อง พระพิฆเนศวรในประเทศไทย




















พระพิฆเนศวรที่เก่าที่สุดในเอเชียอาคเนย์ พุทธศตวรรษที่ 11-12 เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ พระนคร
ที่มา : http://oknation.nationtv.tv/blog/aksorn/2008/06/24/entry-1
พระคเณศสมัยสุโขทัยตอนปลาย
จากภาพถ่ายเก่าในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ที่มา : หนังสือคเณศปกรณ์ โดย กิตติ วัฒนะมหาตม์
เทวรูปที่ถอดแบบจากสมัยสุโขทัยตอนปลายใน พ.ศ. 2529
เข้าพิธีมังคลาภิเษกพระพิฆเนศวรของกรมศิลปากร
ที่วัดบวรสถานสุทธาวาส ปลายปี พ.ศ. 2540 (อรขร เอกภาพสากล : ภาพ)
ที่มา : หนังสือคเณศปกรณ์ โดย กิตติ วัฒนะมหาตม์
พระคเณศศิลา ศิลปะสมัยอยุธยา พุทธศตวรรษที่ 17
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร (พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร : ภาพ)
พระคเณศศิลา ศิลปะสมัยอยุธยา พุทธศตวรรษที่ 17
ปัจจุบัน ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
จิตรกรรมรูปพระคเณศ คัดลอกจากตำราช้าง
ฉบับช่างเขียนหลวง โดย รศ. สน สีมาตรัง
ที่มา : หนังสือคเณศปกรณ์ โดย กิตติ วัฒนะมหาตม์
จิตรกรรมรูปพระคเณศบนบานหน้าต่างพระอุโบสถ
วัดสุทัศนเทพวราราม
ที่มา : หนังสือคเณศปกรณ์ โดย กิตติ วัฒนะมหาตม์
พระคเณศบนบานประตูด้านหลังวิหารเก่าวัดเพลงวิปัสสนา
สันนิษฐานว่าสร้างในปลายรัชกาลที่ 3
ที่มา : หนังสือคเณศปกรณ์ โดย กิตติ วัฒนะมหาตม์
พระพิฆเนศวรที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงได้มาจากจันทิสิงหส่าหรี อินโดนีเซีย ศิลปะชวาตะวันออก
พุทธศตวรรษที่ 15-16
ปัจจุบันประดิษฐานที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ที่มา : http://www.druthit.com/160/
พระพิฆเนศวรปูนปั้นปิดทองประกอบซุ้มพระที่วัดราชาธิวาส
สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงออกแบบ
ที่มา : หนังสือคเณศปกรณ์ โดย กิตติ วัฒนะมหาตม์
ดวงตราพระพิฆเนศวรที่วิทยาลัยนาฏศิลป์ นครศรีธรรมราช
ที่มา : หนังสือคเณศปกรณ์ โดย กิตติ วัฒนะมหาตม์
